Google Tensor ก้าวสำคัญของแมชชีนเลิร์นนิง

ทุก ๆ สองถึงสามปี Machine Learning (ML) ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการใช้เทคโนโลยีของพวกเรา ซึ่งบางครั้งผลิตภัณฑ์ของ Google เองก็เป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนั้น ที่ผ่านมาเราเคยเห็น Google Assistant ทำให้สมาร์ทโฟนและอุปกรณ์อื่น ๆ อย่างเช่นพวก IoT มีประโยชน์มากขึ้น และ Google Translate เองก็ช่วยทำลายกำแพงด้านภาษาไปบางส่วน แต่ Google เองก็ไม่สามารถนำ ML ที่ดีที่สุดมาสู่สมาร์ทโฟนได้เสมอไปเนื่องด้วยข้อจำกัดของฮาร์ดแวร์ นี่จึงเป็นเหตุผลที่ Google ได้สร้าง Google Tensor ชิปประมวลผลที่จะมอบความสามารถใหม่ ๆ ที่ก้าวทันกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ML ให้กับผู้ใช้ Google Pixel

สร้างขึ้นจากการร่วมมือกับแผนก Google Research

ทีมนักวิจัยของ Google ได้รวมตัวกันทั้งแผนกฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ และ ML เพื่อสร้างตัวประมวลผล ML ที่ดีที่สุดสำหรับอุปกรณ์พกพา การออกแบบ Google Tensor ด้วยการใช้ข้อมูลจากทีม Google Research ทำให้ทราบข้อมูลเชิงลึกว่าโมเดล ML กำลังจะไปในทิศทางใดโดยไม่ได้มองอยู่แค่ในปัจจุบัน ซึ่งช่วยให้ Google สามารถสร้างแพลตฟอร์ม AI กับ ML ไปในทิศทางเดียวกันกับสิ่งที่ Google กำลังทำได้ด้วย

Google Tensor ช่วยปลดล็อกประสบการณ์ใหม่ ๆ ซึ่งทำให้มีฟีเจอร์ต่าง ๆ ที่น่าทึ่งใน Pixel 6 ​​อย่างเช่น Motion Mode, Face Unblur, โหมดเพิ่มประสิทธิภาพของเสียงพูดเวลาถ่ายวิดีโอ และฟีเจอร์ HDRnet

Google Tensor ทำให้ก้าวข้ามขีดจำกัดของการใช้สมาร์ทโฟนอย่างมีประโยชน์ โดยเปลี่ยนแนวทางจากฮาร์ดแวร์แบบเดียวที่ใช้ได้กับทุกอุปกรณ์ มาเป็นอุปกรณ์อันชาญฉลาดที่จะรองรับวิธีการใช้งานในรูปแบบต่าง ๆ ของผู้คนที่ใช้สมาร์ทโฟนของ Google

การออกแบบที่แตกต่าง

Google Tensor ก้าวสำคัญของแมชชีนเลิร์นนิง 1

Google Tensor ถูกออกแบบให้เป็น System on a Chip (SoC) ระดับพรีเมี่ยมที่มีทุกสิ่งที่ผู้ใช้งานคาดหวังจาก SoC สำหรับอุปกรณ์พกพา

การสั่งการด้วยเสียง ภาษา ภาพ และวิดีโอของผู้ใช้งานแต่ละคนมีความแตกต่างกันโดยธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้งานต้องการทรัพยากรมากมายในชิปประมวลผล Google จึงทำให้มั่นใจว่า Google Tensor ได้รับการออกแบบมาอย่างพิถีพิถันเพื่อมอบประสิทธิภาพในการใช้งาน การประมวลผลต่าง ๆ และความปลอดภัยในระดับที่เหมาะสม ประกอบกับระบบปฏิบัติการ Android 12 ที่ Google มุ่งมั่นจะสร้างระบบปฏิบัติการที่วางรากฐานสำหรับอนาคตของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ทำงานร่วมกัน ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเห็นสิ่งเหล่านี้ได้จากการใช้งานจริงอย่างการถ่ายวิดีโอหรือการใช้สมาร์ทโฟนในการแปลภาษาต่าง ๆ

Google Tensor ทำอะไรได้บ้าง

ด้วยการทำงานร่วมกันกับแผนก Google Research ทำให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ช่วยนำความสามารถใหม่ ๆ มาสู่ Pixel 6 และ Pixel 6 Pro ทั้งหมดนี้เป็นผลจากการที่ Google Tensor ใช้ ML ที่ล้ำสมัย แต่ใช้พลังงานน้อยกว่าเมื่อเทียบกับโทรศัพท์ Pixel รุ่นก่อน

ตัวอย่างเช่น Google Assistant ที่ทำงานบน Google Tensor ใช้การรู้จำเสียงอัตโนมัติ (ASR) ที่แม่นยำที่สุดเท่าที่ Google เคยเปิดเผยสู่สาธารณชน และเป็นครั้งแรกที่สามารถใช้โมเดล ASR คุณภาพสูงได้แม้กับแอปพลิเคชันที่ใช้เวลาในการทำงานติดต่อกันนาน ๆ เช่น การบันทึกเสียงหรือการใช้งานฟีเจอร์อย่าง Live Caption โดยที่ไม่ทำให้แบตเตอรี่หมดอย่างรวดเร็ว

Google Tensor ก้าวสำคัญของแมชชีนเลิร์นนิง 3
ตัวอย่างการใช้งานฟีเจอร์ Live Translate

นอกจากนี้ ผู้ใช้งานยังสามารถสื่อสารกับผู้คนที่พูดคนละภาษาได้ดียิ่งขึ้นด้วย Google Tensor และฟีเจอร์ Live Translate ใหม่ใน Pixel 6 และ Pixel 6 Pro ยังสามารถใช้งานได้โดยตรงในแอปพลิเคชันแชทอื่น ๆ เช่น Messages และ WhatsApp ซึ่งหมายความว่าไม่ต้องคอยก็อปข้อความมาวางใน Google Translate เพื่อแปลข้อความอีกต่อไป

Google Tensor ยังช่วยให้ Live Translate สามารถแปลภาษาขณะรับชมวิดีโอโดยสามารถประมวลผลในตัวได้เลย เมื่อเทียบกับ Pixel 4 แล้ว Neural Machine Translation (NMT) รุ่นใหม่ที่ทำงานบน Google Tensor ใช้พลังงานน้อยกว่าถึงครึ่งหนึ่ง

นอกจากนี้ Google Tensor ยังช่วยในเรื่อง Computational Photography ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ Pixel เป็นสมาร์ทโฟนที่ถ่ายภาพได้อย่างน่าประทับใจมาตลอด

Google Tensor ก้าวสำคัญของแมชชีนเลิร์นนิง 5
ภาพตัวอย่างจากการถ่ายรูปด้วยโหมด Motion

โครงสร้างของชิป Tensor ทำให้การถ่ายภาพที่เคยเป็นไปไม่ได้ในอดีตสามารถเกิดขึ้นได้จริง เนื่องจากระบบย่อยต่าง ๆ ของชิปทำงานร่วมกันได้ดีขึ้น จึงสามารถประมวลผลการถ่ายภาพได้รวดเร็วยิ่งขึ้น

ในส่วนของการถ่ายวิดีโอซึ่งเป็นเรื่องยากที่จะแก้ไขให้ดีขึ้นได้ (ถ้าหากสังเกตดี ๆ จะพบว่าคุณภาพของภาพที่ได้จากการถ่ายภาพนิ่งจะดีกว่าการถ่ายวิดีโอ) Google เองได้พยายามมาโดยตลอดที่จะทำให้การถ่ายวิดีโอของ Pixel มีคุณภาพที่ดีเท่ากับการถ่ายภาพนิ่ง และ Google Tensor ก็ช่วยมอบประสบการณ์การถ่ายวิดีโอที่ดีขึ้นในแต่ละองค์ประกอบ

HDRNet ฟีเจอร์ใหม่ที่ทำให้การถ่ายวิดีโอด้วย Pixel ดูมีเอกลักษณ์และมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยสามารถประมวลผลได้บนชิปเลยและสามารถใช้งานได้ในทุกโหมดวิดีโอแม้ว่าจะถ่ายที่ความละเอียด 4K และ 60 เฟรมต่อวินาทีก็ตาม ซึ่งฟีเจอร์นี้ช่วยให้บันทึกภาพได้แม่นยำยิ่งขึ้นและมีสีสันที่สดใส

นอกจากนี้ Pixel 6 และ Pixel 6 Pro ยังสามารถตรวจจับใบหน้าได้แม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อเทียบกับ Pixel รุ่นก่อน Pixel 6 ไม่ได้แค่ค้นหาและโฟกัสวัตถุได้เร็วกว่าเท่านั้น แต่ยังใช้พลังงานน้อยลงประมาณครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับ Pixel 5

ปลอดภัยยิ่งกว่าด้วย Tensor security core และ Titan M2

ด้วยการทำงานร่วมกันของชิป Titan M2, Google Tensor และ TrustZone™ ที่ขับเคลื่อนด้วย Trusty OS ทำให้ Pixel 6 และ Pixel 6 Pro มีความปลอดภัยในด้านฮาร์ดแวร์มากที่สุดในบรรดาสมาร์ทโฟนทุกรุ่น ตัวชิปประกอบไปด้วย Tensor security core ซึ่งเป็นระบบย่อยที่ใช้ตัวประมวลผลใหม่ที่ทำงานร่วมกับชิปรักษาความปลอดภัยรุ่นใหม่อย่าง Titan M2 เพื่อปกป้องข้อมูลผู้ใช้ จากการทดสอบในห้องปฏิบัติการความปลอดภัยที่ไม่ได้ขึ้นตรงกับ Google แสดงให้เห็นว่าชิป Titan M2 สามารถทนต่อการโจมตีต่าง ๆ ได้เป็นอย่างดี เช่น การวิเคราะห์แม่เหล็กไฟฟ้า การเกิดแรงดันไฟฟ้าขัดข้อง หรือแม้แต่การยิงเลเซอร์ใส่ชิป

สรุป

Google Tensor สร้างขึ้นจาก AI และ ML ที่ได้รับความร่วมมือจากแผนก Google Research เพื่อมอบประสบการณ์ที่ได้จากงานวิจัยมาสู่ผู้ใช้งานในโลกแห่งความเป็นจริง Tensor จะช่วยปลดล็อกประสบการณ์ที่ไม่สามารถทำได้ในอดีตให้เกิดขึ้นได้จริงในปัจจุบัน Google มีแนวคิดว่าเทคโนโลยีที่เป็นประโยชน์ต้องสามารถใช้ได้ทุกที่ทุกเวลาที่ผู้ใช้งานต้องการ

ที่มา: บทความ Google Tensor is a milestone for machine learning โดยคุณ Monika Gupta (Senior Director, Google Silicon)

Subscribe
Notify of
guest

0 Comments
Oldest
Newest Most Voted
Inline Feedbacks
View all comments