วันนี้เป็นวันที่ใช้ Pixel 6 Pro มาเป็นเวลา 10 วันแล้ว เลยจะมาเล่าให้ฟังว่ารู้สึกแตกต่างกับตอนที่ใช้ Pixel 6 ยังไงบ้าง สำหรับบทความนี้จะไม่พูดถึงเรื่องของสเปคที่เป็นพวกตัวเลขแบบจอ 90 Hz กับ 120 Hz หรือ RAM 8 GB กับ 12 GB รวมถึงพวกสเปคที่หาอ่านได้ตามอินเตอร์เน็ตอะไรพวกนี้นะครับ (ถ้าอยากดูสเปคแบบละเอียดสามารถดูได้ที่นี่) แต่จะเล่าจากสิ่งที่ได้พบเจอจากการใช้งานว่ามีความแตกต่างกันยังไงบ้าง ซึ่งในบางหัวข้อก็อาจจะลงลึกในเชิงเทคนิคนิดหน่อยเพื่อให้คุณผู้อ่านนึกภาพตามได้ง่ายขึ้น
ดีไซน์
Pixel 6 กับ Pixel 6 Pro เป็นสมาร์ทโฟนที่มีงานประกอบอยู่ในเกณฑ์ดีทั้งคู่ ตัวเครื่องมีความแข็งแรง จับถือแล้วรู้สึกว่าไม่ก๊องแก๊ง แต่ถ้าพิจารณารายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็จะพบว่ายังไม่ถึงขั้นเนี้ยบตามสไตล์ของ Google ผมหักคะแนนทั้งคู่ตรงส่วนของกาวที่ใช้ประกอบรอยต่อของ Camera bar กับฝาหลังที่เก็บงานไม่เรียบร้อย (แต่ไม่ได้มีผลต่อการใช้งาน) และตรงส่วนโค้งของขอบกล้องที่เป็นพลาสติกและเห็นรอยต่อชัดเจน แถมยังเป็นรอยง่ายมาก ๆ ถ้าหากมีการขีดข่วนเกิดขึ้น
Pixel 6 และ Pixel 6 Pro ถูกดีไซน์ออกมาคนละแนวทางกัน สำหรับ Pixel 6 จะมีดีไซน์ที่เรียบง่าย มีขอบจอที่หนากว่านิดหน่อย (อันที่จริงแอบอยากให้ขอบแต่ละด้านหนาใกล้เคียงกันแบบ Pixel 5 มากกว่า เพราะ Pixel 6 ขอบล่างหนากว่าขอบบนแบบเห็นได้) ขอบตัวเครื่องเป็นสีดำและมีผิวสัมผัสด้าน ทำให้รู้สึกว่าทนทานต่อการกระแทก ชอบตรงเวลาถอดเคสมาทำความสะอาดแล้วสามารถใส่กลับเข้าไปโดยที่ไม่ต้องกลัวว่านิ้วจะไปแตะขอบเครื่องตอนใส่เคสจนขอบเครื่องเป็นรอยนิ้วมือ (อันนี้เป็นความโรคจิตส่วนตัวของผู้เขียน 555)
ส่วน Pixel 6 Pro นั้นจะมีดีไซน์ที่หรูหราสุด ๆ ขอบจอบางกว่าเล็กน้อย จอโค้งเหมือนกับสมาร์ทโฟน Android เรือธงหลาย ๆ แบรนด์ ขอบตัวเครื่องขัดเงาสวยงาม จนรู้สึกไม่กล้าจับเพราะกลัวเป็นรอยนิ้วมือ
ส่วนตัวผมประทับใจดีไซน์ของ Pixel 6 Pro เพราะสวยหรูแบบจริงจัง ไม่เคยคิดว่าก่อนว่าจะได้เห็น Pixel ที่หรูหราขนาดนี้ เป็นมือถือที่ดูแพงมาก แต่เวลาใช้ Pixel 6 รู้สึกสบายใจกว่า เวลาใช้งานแบบถอดเคสชอบผิวสัมผัสของ Pixel 6 มากกว่า
หน้าจอ
ด้านบนพูดเรื่องดีไซน์ของหน้าจอไปแล้ว ในส่วนนี้จะมาเจาะลึกเรื่องภายในจอกันบ้าง จอของ Pixel 6 เป็นจอ Rigid OLED ส่วนของ Backplane ทำมาจากแก้ว ไม่สามารถบิดงอได้ ตัวจอมีความหนา เวลามองจอจะเห็นส่วนที่แสดงผลอยู่ลึกลงไปจากกระจกปิดหน้าจอ ส่วนจอของ Pixel 6 Pro เป็นจอ Flexible OLED ส่วนของ Backplane ทำมาจากพลาสติก สามารถบิดงอได้ ตัวจอมีความบาง เวลามองจอจะเห็นส่วนที่แสดงผลจะอยู่ใกล้กับกระจกปิดหน้าจอ
ถ้าให้เทียบกันระหว่าง 2 รุ่นนี้หน้าจอของ Pixel 6 Pro ก็ต้องดีกว่าอยู่แล้ว แต่สำหรับจอ Pixel 6 นั้นก็ไม่ได้แย่อะไรถ้าเทียบกับราคาที่จ่ายไป สีสันกับความคมชัดคืออยู่ในระดับที่ดี ใช้ดูแอปสตรีมมิ่งและเล่นเกมได้แบบไม่ได้รู้สึกหงุดหงิด แต่ด้วยความที่เป็น Rigid OLED ก็จะมีข้อจำกัดบางอย่าง เวลามองหน้าจอในมุมที่เอียงจากแนวตั้งฉากกับหน้าจอจะเห็นได้ว่าหน้าจอมีการหักเหของแสงชัดเจน มีความไม่สม่ำเสมอของสี มีสีรุ้งวิ่งเป็นริ้ว ๆ เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำจอ Rigid OLED เป็นแก้วตามที่ได้อธิบายไปข้างต้น ซึ่งความหนาของแก้วทำให้แสงเกิดการหักเหเยอะนั่นเอง และข้อจำกัดอีกอย่างก็คือจอ Rigid OLED ใช้วัสดุภายในที่มีความดำไม่เท่ากับ Flexible OLED ถ้าจับจอ 2 ชนิดนี้มาวางคู่กันแล้วเปิดภาพสีดำหรือปิดหน้าจอจะเห็นได้ว่า Rigid OLED จะไม่มืดสนิทเท่ากับ Flexible OLED ทำให้สมาร์ทโฟนที่ใช้จอแบบ Rigid OLED มีคอนทราสต์ที่ต่ำกว่า
ในส่วนนี้ผมได้อธิบายไปค่อนข้างละเอียดในรีวิว Pixel 6 ถ้าหากสนใจก็สามารถเข้าไปอ่านกันได้ตามที่ผมแปะไว้ด้านล่างนี้เลยครับ
Pixel Society
ส่วนเรื่องความละเอียดกับ Refresh rate ที่ต่างกันนั้นไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผม ต่อให้เป็นจอ 60 Hz ความละเอียด Full HD+ ทั้งคู่ผมก็รับได้ ถ้าให้สรุปเรื่องจอของ 2 รุ่นนี้แบบสั้น ๆ ก็คือ Pixel 6 Pro จะได้จอที่มีสเปคแบบจัดเต็มในทุก ๆ ด้านตามมาตรฐานเรือธงพรีเมี่ยม ส่วน Pixel 6 จะได้จอที่ถูกปรับแต่งให้ออกมาดีเท่าที่จะทำได้ภายใต้ต้นทุนที่จำกัดกว่า
กล้องหลัง
จุดที่ต่างกันในเรื่องกล้องของทั้งสองรุ่นคือ Pixel 6 Pro จะมีกล้อง Telephoto มาให้ด้วย จากที่เห็นสเปคนั้นทำให้เข้าใจผิดอยู่ช่วงนึงว่าต้องถ่ายภาพที่ระยะ 4x ขึ้นไปถึงจะเห็นความแตกต่างระหว่าง 2 รุ่นนี้ แต่ความจริงแล้วกล้อง Telephoto ของ Pixel 6 Pro นั้นไม่ได้ทำงานที่ระยะ 4x เสมอไป ถ้าหากใช้ Pixel 6 Pro ถ่ายภาพ Close-up หรือถ่ายวัตถุที่อยู่ใกล้ ๆ ระบบของกล้องก็จะใช้กล้องหลักซูมไปจนถึงระยะประมาณ 7x กว่า ๆ เลย ทำให้ได้ค้นพบว่ากล้อง Telephoto จะทำงานก็ต่อเมื่อถ่ายวัตถุที่อยู่ไกล ๆ หรือถ่ายวิวทิวทัศน์เท่านั้น (ถ้าใครเคยใช้ iPhone ที่มีกล้อง Telephoto ก็จะนึกภาพออก หลักการทำงานคล้าย ๆ กัน) เพราะฉะนั้นคนที่ลังเลว่าจะจัด Pixel 6 Pro เพราะเรื่องกล้องดีมั้ยจะสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้นอีก ถ้าคุณเน้นถ่ายวัตถุที่อยู่ใกล้ ๆ เน้นถ่ายรูปแบบให้เห็นองค์ประกอบในภาพรวม คุณจบที่ Pixel 6 ได้เลย แต่ถ้าคุณคิดว่ามีเหตุให้ต้องซูมมากกว่า 7x บ่อย ๆ ก็เลือกไป Pixel 6 Pro ได้เลย ในส่วนนี้เดี๋ยวผมจะทำบทความแยกแล้วทดสอบให้เห็นชัด ๆ กันอีกทีครับ มีรายละเอียดอยากอธิบายเพิ่มด้วยอีกนิดหน่อย
มีข้อสังเกตเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างกล้องของ 2 รุ่นนี้อีกหนึ่งเรื่องที่น่าประหลาดใจ คือเวลาที่ตัววัดระนาบกล้องมาอยู่ที่ 0 องศา Pixel 6 Pro จะมีการสั่นเบา ๆ ให้รับรู้ว่าระนาบกล้องอยู่ที่ 0 องศาแล้ว ในขณะที่ Pixel 6 จะไม่มีการสั่นเตือน ซึ่งตรงนี้ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเป็นเพราะอะไรถึงไม่ใส่ในส่วนนี้มาให้ Pixel 6 ด้วย งงมากถึงมากที่สุด
ลำโพง
รู้สึกได้ว่าลำโพงของ Pixel 6 Pro ดังกว่า Pixel 6 เมื่อปรับระดับเสียงเท่ากัน ส่วนเรื่องคุณภาพเสียงผมไม่ขอวิจารณ์เนื่องจากไม่ได้เชี่ยวชาญพอที่จะบอกได้ว่าเสียงแต่ละย่านนั้นเป็นอย่างไร แต่ถ้าเอาแบบความรู้สึกล้วน ๆ ผมกลับชอบเสียงจากลำโพงของ Pixel 6 มากกว่านิดหน่อย (แบบนิดเดียว) ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม จะว่า bias ก็ไม่ใช่ เพราะผมชอบทั้ง 2 รุ่นเลยนะ
ทดลองเปิดระดับเสียงครึ่งนึงแล้วรอวัดความเข้มของเสียงที่เพลงท่อนเดียวกัน ได้ผลลัพธ์ตามภาพด้านล่าง อันที่จริงการทดลองแบบนี้ก็ไม่ถือว่าได้มาตรฐานซะทีเดียว เอาเป็นว่าลองทดสอบแบบบ้าน ๆ ให้ดูกันขำ ๆ ละกันครับ
แบตเตอรี่
ถึงแม้ว่าแบตเตอรี่ของ Pixel 6 Pro จะเยอะกว่าถึงเกือบ 400 mAh แต่จากการที่ใช้งานจริงพบว่า Pixel 6 แบตอึดกว่า Pixel 6 Pro แบบเห็นความแตกต่าง อาจเป็นเพราะหน้าจอของ Pixel 6 Pro ใหญ่กว่า มีความละเอียดมากกว่า มี Refresh rate สูงกว่า ส่วนการชาร์จไฟกลับนั้นยังไม่เคยจับเวลาแบบจริงจัง แต่เท่าที่ลองชาร์จกับ Pixel Stand ผมว่าใช้เวลาไม่ได้หนีกันมากครับ (ถ้าชาร์จกับ Pixel Stand Pixel 6 Pro จะชาร์จได้สูงสุดที่ 23 W ส่วน Pixel 6 จะชาร์จได้สูงสุดที่ 21 W)
สรุปเรื่องแบตก็คือ Pixel 6 Pro เพียงพอต่อการใช้งานทั้งวัน ส่วน Pixel 6 คืออึดถึกไปจากนั้นอีก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับการใช้งานของแต่ละคนด้วยนะครับ ถ้าเล่นเกมติดต่อกันหลายชั่วโมงอันนี้อยู่ไม่ถึงวันทั้งคู่แน่นอน
Ultra-Wideband (เฉพาะ Pixel 6 Pro)
Pixel 6 Pro จะมีเทคโนโลยี UWB ใส่มาให้ด้วย ซึ่งมีส่วนช่วยในการหาอุปกรณ์ที่มีเทคโนโลยีนี้ผ่านฟีเจอร์ Nearby Share ได้ไวขึ้น แต่ในส่วนนี้คือไม่รู้ว่าจะไปลองกับอะไรจริง ๆ ครับ จะลองกับ AirTag ก็ไม่ได้อีก 555 เอาเป็นว่านี่คืออีกความพิเศษนึงของ Pixel 6 Pro ครับ
น้ำหนัก
น้ำหนักเป็นอีกเรื่องนึงที่ผมงงมาก ว่าทำไม Pixel 6 เบากว่า Pixel 6 Pro แค่ 3 กรัม ทั้ง ๆ ที่เครื่องเล็กกว่า กล้องก็มีน้อยกว่า พอเป็นแบบนี้เลยทำให้รู้สึกว่า Pixel 6 หนักขึ้นมาทันที แต่ถ้าให้ผมเดาก็น่าจะเกี่ยวกับเรื่องชิ้นส่วนของจอที่ผมได้อธิบายไปด้านบนครับ
เคส
ประเด็นนี้จะพูดในเชิงบ่นมากกว่าครับ ผมเองซื้อเคสของ Google มาใส่ให้กับทั้ง 2 รุ่น ซึ่งสำหรับ Pixel 6 นั้นก็ไม่ได้มีอะไรที่ผิดปกติ ใส่ได้พอดี ไม่มีปัญหาอะไร แต่กับ Pixel 6 Pro คือเคสหลวมแบบรู้สึกได้ ตรงบริเวณปุ่ม Power กับ Volume ย้วยแบบเห็นได้เลย ยิ่งเวลาถือคว่ำหน้ามีความรู้สึกเหมือนว่าเครื่องจะหลุดออกจากเคสตลอดเวลา (แต่มันก็ไม่ได้ถึงขั้นหลุดจริง ๆ นะ แค่เสียว ๆ) ผมเองลองถามหลาย ๆ คนที่ใช้ Pixel 6 Pro และใส่เคสของ Google ก็พบว่ามีปัญหาเดียวกันเลย และไม่ใช่เป็นแค่กับเคสของ Google เท่านั้น เคส UAG ก็มีอาการหลวมเช่นกัน จนทำให้อดสงสัยไม่ได้ว่าตัว Mock up ที่ Google ส่งให้แต่ละแบรนด์ไปปั๊มเคสมีปัญหารึเปล่า
สรุป
- ถ้ามีงบประมาณจำกัดหรือไม่อยากจ่ายเงินเยอะมาก Pixel 6 ก็เป็นตัวเลือกที่ดี ถึงแม้ว่าเรื่องจอจะไม่สุดเท่า Pixel 6 Pro และไม่มีกล้อง Telephoto ก็ตาม แต่แลกมากับราคา $599 ก็ถือว่าคุ้มค่า
- ถ้าหากคุณซื้อ Pixel เพราะชอบความเป็น Pixel หรืออยากลองใช้ Android ที่ Google ปรับแต่งเองกับมือ คุณซื้อแค่ Pixel 6 ก็เพียงพอแล้ว
- ถ้าคุณมีงบประมาณเหลือ ๆ คาดหวังให้ Pixel มีสเปคและความพรีเมี่ยมทัดเทียมกับเรือธงพรีเมียมแบรนด์อื่น ๆ มานานแล้ว ชอบสมาร์ทโฟนที่หน้าจอสวยมาก ๆ หรือมีความจำเป็นที่ต้องถ่ายภาพจากระยะไกล ๆ คุณจัด Pixel 6 Pro ได้เลย ถ้าหากคุณจำเป็นต้องใช้ฟังก์ชันพวกนี้ การลงทุนไปรุ่น Pro ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าเช่นกัน